Mix Culture
แฟชั่นแนวใหม่
ที่กำลังแผ่อิทธิพลไปทั่วโลก
ปัจจัยแรกที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แถมเกิดขึ้นไปทั่วโลกเสียด้วย นั่นก็คือภาวะเศรษฐกิจ ถดถอย แน่นอนเมื่อค่าของเงินในกระเป๋าลดลงการตัดสินใจซื้อแฟชั่นแบรนด์เนมสักชิ้นที บางครั้งสามารถใช้ได้เพียงแค่โอกาสเดียวเท่านั้น ยอดขายแฟชั่นหรู ก็ถดถอยเป็นธรรมดา แน่นอนคนก็ย่อมหันไปมองหาแบรนด์ที่เล็กกว่า ราคาถูกกว่า แต่ไอเดียไม่แพ้แบรนด์หรู และบางทีอาจจะสดกว่าด้วยซ้ำไป หรือที่เรียกกันว่า “high-Style, Lower-cost” อย่าง H&M หรือ Uniqio จึงไปได้ดีในภาวการณ์เช่นปัจจุบัน
จาก Cross Culture สู่ Mix Culture และ Mix & Match
ในอดีตการอัปเดตแฟชั่นแต่ละครั้งนั้นต้องเว้นระยะหลังจากแฟชั่นวีก ในอิตาลี ฝรั่งเศส หรืออังกฤษเสร็จสิ้นไปร่วมหลายเดือน กระแสแฟชั่นจึงจะกระจายเป็นกระแสไปทั่วโลก แต่วันนี้เทคโนโลยีการสื่อสารทำให้โลกนั้นแคบลงทุกวัน ทันทีที่รันเวย์จบไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้นคุณก็สามารถอัปเดทแฟชั่นจากแบรนด์ดังได้ทันที ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนบนโลก
ดังนั้นมันไม่ยากเลยที่บรรดาคนทำเสื้อผ้าทั้งไม่มีแบรนด์ แบรนด์เล็ก แบรนด์ขนาดกลางจากทั่วโลกจะคลิกเลือกฮอตไอเทมจากแบรนด์เนมหรูๆ มาเป็นไกด์ไลน์ในการออกแบบงานแฟชั่นของตัวเองด้วยการออกแบบ และวัฒนธรรมที่เป็นตัวของตัวเองของดีไซเนอร์แต่ละคนที่มีอยู่ทั่วทุกมุมโลก
ดังนั้น ไม่น่าแปลกใจเลยที่เราจะเห็นแฟชั่นที่มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับฮอตไอเทมของแบรนด์ดัง แต่มีดีไซน์ที่แตกต่างออกไปอยู่บนตัวของแฟชั่นนิสต้าทั่วโลก ที่สำคัญแฟชั่นนิสต้าเหล่านี้ยังรู้จัก Mix & Match เสื้อผ้าที่เกิดขึ้นจาก Mix Culture เหล่านี้ได้อย่างโดดเด่นอีกด้วย
อีกมุมหนึ่งของ Mix Culture นั่นก็คือ การที่ประเทศต่างๆทุกทวีปทั่วโลกต่างก็มีแฟชั่นเป็นของตัวเอง ซึ่งเวทีเหล่านี้เป็นต้นกำเนิดของแบรนด์หน้าใหม่ที่มีสไตล์การออกแบบเฉพาะตัว โดยมีการผสมผสานวัฒนธรรมดั้งเดิมของตัวเองเข้ากับกระแสแฟชั่นโลกได้อย่างลงตัว
แต่ก่อนนั้นเราอาจจะมองว่า ดีเอ็นเอของการออกแบบจะอยู่เฉพาะในตัวชาวอิตาลี หรือฝรั่งเศส เท่านั้น !? แต่เมื่อโลกแคบลงทำให้เรารู้ว่า ทวีปเอเชียอย่างประเทศญี่ปุ่นก็มี ดีเอ็นเอของการออกแบบเสื้อผ้าแข็งแกร่งเช่นกัน ดูได้จากความสำเร็จของแบรนด์อย่าง
Number (N)ine หรือ Undercover ที่ถูกจัดเข้าไปอยู่ในลิสต์ของแบรนด์เนมของเว็ปไซต์แฟชั่นชั้นนำเรียบร้อยแล้ว
หาญ ทองหุ่น / Flash! Mag